วันจันทร์ที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2561

โรคพาร์กินสันมีอาการอย่างไร? (Resting tremor)


ลักษณะอาการที่สำคัญของโรคพาร์กินสัน คือ อาการแต่ละอาการจะค่อยๆปรากฏ เป็นแบบค่อยเป็นค่อยไป ไม่ได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันทันที เมื่อเวลาผ่านไปอาการจะรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งแบ่งอาการออกได้เป็น
1.อาการเกี่ยวกับระบบประสาทสั่งการ เป็นอาการหลักที่จะต้องพบในผู้ป่วยโรคพาร์กินสัน ได้แก่
อาการสั่นขณะช่วงการพัก (Resting tremor) มักเป็นอาการแรกที่ปรากฏขึ้นมา โดยส่วนใหญ่จะเกิดขึ้นที่นิ้วมือก่อน แล้วตามด้วยข้อมือและแขน โดยจะเป็นแค่ข้างใดข้างหนึ่ง ไม่เกิดพร้อมกันทั้ง 2 ข้าง เมื่อผ่านไปหลายๆเดือน ขาและเท้าอีกข้างก็จะเริ่มมีอาการสั่นตามมา และในที่สุดก็จะเกิดอาการทั่วร่างกาย รวมทั้งบริเวณ คาง ริมฝีปาก และลิ้น ยกเว้นแต่บริเวณศีรษะและลำคอที่จะไม่เกิดอาการสั่น อาการสั่นจะเกิดขณะที่ร่างกายไม่ได้ใช้งาน เช่น ขณะนั่งพัก เมื่อเกิดอาการเครียดอาการสั่นจะแรงขึ้น (แต่ความถี่จะคงที่คือ 4-6 ครั้งต่อวินาที) เมื่อนอนหลับอาการจะหายไป นิ้วมือที่มีอาการสั่นจะมีลักษณะเฉพาะที่เรียกว่า Pill-rolling คือเหมือนกำลังปั้นยาลูกกลอนอยู่
การสั่นของโรคพาร์กินสันนี้จะไม่เหมือนอาการสั่นชนิดไม่มีสาเหตุที่มักพบในคนสูงอายุ (Essential tremor) ซึ่งจะมีอาการสั่นขณะที่ใช้ร่างกายทำงาน เช่น จับปาก กาเขียนหนังสือ อาการสั่นจะเป็นพร้อมๆกันทั้งซีกซ้ายและซีกขวา มีความถี่อยู่ที่ 8-10 ครั้งต่อวินาที และที่สำคัญคือหากให้แอลกอฮอล์ดื่ม อาการสั่นจะดีขึ้นชั่วคราว

เคลื่อนไหวร่างกายช้าลง (Bradykinesia) การเคลื่อนไหวร่างกายส่วนต่าง ๆ จะเกิดน้อยลงและช้าลง ได้แก่ การเคลื่อนไหวที่ใบหน้าลดลง ทำให้ผู้ป่วยมีการกระพริบตาน้อยลง การแสดงสีหน้าต่างๆลดลง ผู้ป่วยจะมีหน้าตายเหมือนใส่หน้ากากอยู่ เสียงพูดเบาลง พูดไม่มีจังหวะสูงต่ำ เมื่ออาการเป็นมากขึ้นคำพูดจะไม่ชัดเจนจนอาจฟังไม่รู้เรื่อง บางคนอาจมีน้ำลายไหลออกจากมุมปาก การเคลื่อนไหวของลำตัวและขาช้าลง ทำให้ลุกจากเก้าอี้ได้ยาก ล้มตัวลงนอนได้ลำบาก เดินช้าลง ก้าวขาสั้นลง เหมือนกำลังเดินซอยเท้า และเท้าไม่ค่อยยกจากพื้น เหมือนเดินลากเท้าอยู่ แขนไม่ค่อยแกว่ง เมื่ออาการเป็นรุนแรงขึ้น หากจะเริ่มต้นก้าวเดินอาจจะทำไม่ได้ชั่วคราว เหมือนเท้าถูกตรึงเอาไว้กับพื้น โดยเฉพาะเวลาจะเดินผ่านประตู นอกจากนี้การเคลื่อนไหวของมือและแขนที่ลดลง ทำให้ลายมือที่เขียนหนังสือเปลี่ยนไป ตัว หนังสือจะเล็กลง การใช้งานในชีวิตประจำวันอื่นๆก็ทำได้ลำบากขึ้น เช่นการไขกุญแจ การใช้ช้อนส้อมกินอาหาร การแต่งตัว นอกจากนี้อาการของ Bradykinesia ยังรวมถึง อาการที่ผู้ป่วยรู้สึกอ่อนเพลีย แขนขาไม่มีแรงด้วย
-ร่างกายมีสภาพแข็งเกร็ง (Rigidity) คือหากผู้อื่นจับแขนหรือขาของผู้ป่วยแล้วขยับไปมา จะรู้สึกมีแรงต้านทานเกิดขึ้น ขยับไม่ได้ง่ายเหมือนคนปกติ
-การทรงตัวขาดความสมดุล (Postural instability) ส่วนใหญ่จะพบเมื่อโรคเป็นมานานแล้ว โดยเวลาที่ผู้ป่วยยืน ช่วงลำตัวจะเอนไปด้านหน้า ทำให้จุดศูนย์ถ่วงของลำตัวเอนไปด้านหน้าเช่นกัน ผู้ป่วยจึงเสี่ยงต่อการล้มได้ง่ายโดยเฉพาะเวลาเดิน

2.อาการทางจิตประสาท ผู้ป่วยอาจจะเกิดภาวะเหล่านี้ร่วมด้วย เช่น
ภาวะซึมเศร้า พบได้ประมาณครึ่งหนึ่งของผู้ป่วย อาจพบได้ตั้งแต่ระยะแรกๆ หรือในระยะหลังๆของโรคก็ได้
-อาการวิตกกังวล มีความรู้สึกกระวนกระวายใจ ไม่มีความสุข
-อาการทางจิต/โรคจิต เช่น จิตเภท (เห็นภาพหลอน หลงผิด)
-การนอนหลับผิดปกติ โดยจะรู้สึกเฉื่อยชาและง่วงนอนในช่วงกลางวัน ในเวลากลางคืนจะนอนไม่ค่อยหลับ สาเหตุส่วนหนึ่งมาจากอาการตัวแข็งและการเคลื่อนไหวร่าง กายที่ช้าลงที่อาจเป็นมากในช่วงกลางคืน และทำให้การขยับตัวขณะนอนหลับเป็นไปได้ลำบาก ผู้ป่วยจึงสะดุ้งตื่นเรื่อยๆ
-การเรียนรู้ถดถอยลง จะพบในระยะหลังๆของการเป็นโรค ผู้ป่วยจะจดจำเรียนรู้ข้อมูลใหม่ๆได้ยากขึ้น สมาธิในการทำงานลดลง ทำงานที่มีความซับซ้อนได้ยากกว่าปกติ เช่น การจัดทำแผนงานเพื่อทำโครงการต่างๆ การบริหารงาน แต่ทักษะในการคำนวณตัวเลข และการใช้ภาษาต่างๆยังคงทำได้ดีเหมือนเดิม
-อาการหลงลืม ความจำเสื่อม ส่วนใหญ่จะพบในระยะหลังๆของการเป็นโรค ซึ่งจะแตกต่างจากโรค Alzheimer’s disease ที่มีอาการพาร์กินสันร่วม ซึ่งจะมีอาการหลงลืมเป็นอาการเด่นนำมาก่อนตั้งแต่ต้น ส่วนอาการของระบบประสาทสั่งการจะไม่เด่นชัดและจะปรากฏในช่วงหลังของโรค
3.อาการทางระบบประสาทอัตโนมัติ ได้แก่ เกิดภาวะความดันโลหิตต่ำเมื่อเปลี่ยนท่าทาง เช่น จากนั่งเป็นยืน ทำให้เกิดอาการหน้ามืดได้ แต่จะไม่ถึงกับเป็นลมหมดสติ ท้องผูก กลั้นปัสสาวะไม่ได้ เหงื่อออกมาก เป็นต้น

แพทย์วินิจฉัยโรคพาร์กินสันอย่างไร?
ผู้ที่มีอาการ Resting tremor, Bradykinesia, Rigidity, และ Postural instability เรียก ว่า มีอาการพาร์กินสัน (Parkinsonism) ซึ่งอาการพาร์กินสันนี้จะพบได้ในโรคอื่นๆ อีกหลายโรค ซึ่งหากเป็นโรคพาร์กินสันก็จะเรียกว่า Parkinson’s disease ส่วนโรคอื่นๆ ก็จะมีชื่อเรียกแตกต่างกันออกไป และจะมีอาการที่เป็นลักษณะเฉพาะของโรคนั้นๆร่วมกับมีอาการพาร์กินสัน โรคเหล่านั้น เช่น Shy-Drager syndrome, Multiple system atrophy, Striatonigral dege neration, Wilson’s disease, Huntington’s disease, Normal pressure hydrocephalus, โรคอัลไซเมอร์ (Alzheimer’ disease ) เป็นต้น
นอกจากนี้การได้รับสารพิษ ยาหรือติดเชื้อบางอย่าง อาจทำให้มีอาการของพาร์กินสันได้ด้วย ซึ่งจะเรียกโดยรวมว่าเป็น อาการ หรือภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkin sonism) เช่น ติดเชื้อซิฟิลิสขึ้นสมอง การได้รับยาแก้อาเจียนบางตัว ยาลดความดันโลหิตในกลุ่มที่ไปทำให้สารสื่อประสาทโดปามีนลดลง ยารักษาอาการโรคจิตเภท และการได้รับสารพิษไซยาไนด์ (Cyanide) คาร์บอนมอนนอกไซด์ (Carbon monoxide) หรือ แมงกานีส (Manga nese) เป็นต้น
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสัน (Parkinson’s disease) จึงต้องแยกโรคอื่นๆที่มีอาการของพาร์กินสัน รวมถึงแยกอาการ หรือภาวะพาร์กินสันทุติยภูมิ (Secondary parkinsonism) ออก ไปด้วย เนื่องจากการรักษาจะแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แม้ว่าจะมีอาการบางอย่างคล้ายกันก็ตาม
การวินิจฉัยโรคพาร์กินสันจะอาศัยอาการผู้ป่วยและความผิดปกติที่แพทย์ตรวจพบเป็นหลัก รวมทั้งลักษณะอาการที่ค่อยเป็นค่อยไป อายุที่เริ่มเป็น และประวัติในครอบครัว ไม่มีการตรวจพิเศษทางห้องปฏิบัติการใดที่ตรวจแล้วบอกได้ว่าผู้ป่วยกำลังเป็นโรคพาร์กินสันอยู่ การตรวจทางห้องปฏิบัติการจะใช้เพื่อยืนยันการวินิจฉัยโรคอื่นๆบางโรคเท่านั้น เช่น การตรวจหาระดับสารพิษในกระแสเลือด การตรวจหาระดับสาร Ceruloplasmin ในเลือดเพื่อวินิจฉัยโรค Wilson’s disease การเอกซเรย์สมองด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า (เอมอาร์ไอ/MRI) เพื่อวินิจฉัย โรค Normal pressure hydrocephalus เป็นต้น

รักษาโรคพาร์กินสันอย่างไร?
แนวทางการรักษาโรคพาร์กินสัน คือ
1.การใช้ยา เป็นการรักษาหลักสำหรับโรคนี้ แบ่งออกได้เป็น
-ยาที่ใช้รักษาอาการเกี่ยวกับระบบประสาทสั่งการ เป็นยาในรูปแบบกิน มีอยู่หลายกลุ่ม เช่น Dopamine agonist, Levodopa/Carbidopa, Monoamine oxidase inhibitor เป็นต้น โดยส่วนใหญ่จะเริ่มต้นด้วยการใช้ยาเพียงตัวใดตัวหนึ่ง ซึ่งในช่วงแรกจะสามารถคุมอาการได้ดี แต่เมื่อผ่านไปนานๆ จะเริ่มมีการดื้อยา ทำให้ต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นและต้องเพิ่มยาอีกกลุ่มมาใช้ร่วมด้วย นอกจากนี้เมื่อใช้ยาไปนานๆ ผู้ป่วยมักเกิดอาการแทรกซ้อน (ผลข้างเคียง) จากการใช้ยา ทำให้ต้องลดยาหรือหยุดยาลง เช่น เกิดการเคลื่อนไหวร่างกายที่ผิดปกติและควบ คุมไม่ได้ และทำให้เกิดอาการทางจิตประสาท เช่น เกิดภาวะซึมเศร้า อาการประสาทหลอนและหลงผิด รวมทั้งความผิดปกติทางจิตที่เรียกว่า Punding คือผู้ป่วยจะหมกมุ่นกระทำอย่างใดอย่างหนึ่งซ้ำไปซ้ำมา เช่น ถอดแกะชิ้นส่วนวิทยุออกและประกอบใหม่ ทำอย่างนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่า หรืออาจเกิดความผิดปกติที่เรียกว่า Impulse control disorder คือไม่สามารถควบคุมการกระทำที่ไม่ดีได้ เช่น ติดการพนัน หมกมุ่นทางเพศ ติดการช้อปปิ้ง เป็นต้น
-ยาที่ใช้รักษาอาการทางจิตประสาท โดยใช้ยารักษาตามอาการที่ปรากฏ หรือหากเป็นผล ข้างเคียงจากการใช้ยารักษาอาการทางระบบประสาทสั่งการ ก็ต้องลดขนาดยาลง หรือปรับ เปลี่ยนตัวยาใหม่
-ยาที่ช่วยป้องกันการตายของเซลล์ประสาท (Neuroprotective therapy) ซึ่งเกิดจากการค้นพบว่า การตายของเซลล์ประสาทมีสาเหตุส่วนหนึ่งมาจากการสะสมของอนุมูลอิสระที่เกิดขึ้นในเซลล์ การให้สารต้านอนุมูลอิสระจึงอาจช่วยรักษาได้ ซึ่งได้แก่ Coenzyme Q10, Creatine , และ Selegiline
2.การรักษาโดยวิธีอื่นๆนอกเหนือจากการใช้ยา โดยจะเลือกใช้ต่อเมื่อได้ใช้ยาทุกกลุ่มเต็มที่แล้วแต่ยังไม่สามารถคุมอาการต่างๆได้ จะไม่เลือกใช้ในการรักษาตั้งแต่เริ่มแรก เพราะผลของการรักษายังไม่แน่นอน เช่น การผ่าตัดสมองเพื่อใส่เครื่องช่วยกระตุ้นสมอง (Deep brain stimulation) การผ่าตัดเอาเนื้อเยื่อบางส่วนของสมองออก (Neuroablative surgery) การผ่าตัดสมองเพื่อปลูกถ่ายเนื้อเยื่อชนิดที่ผลิตสารโดปามีนได้ (Neurotransplan tation) เช่น เนื้อเยื่อจากต่อมหมวกไต เนื้อเยื่อจากจอตา หรือการปลูกถ่ายเซลล์ตัวอ่อน (Stem cell) เป็นต้น





สนใจติดต่อ ID line : crazykornoni , Tel : 083-781-4917


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น