ทำให้เกิดการขาดสารโดพามีนในสมองซึ่งพบบ่อยเป็นอันดับ 2 รองจากโรคอัลไซเมอร์
จากสถิติพบว่า ผู้ป่วยโรคพาร์กินสันทั่วโลกมีสัดส่วนที่ใกล้เคียงกัน คือ มีอัตราป่วย 3 ใน 1,000 คน โดยเฉพาะกลุ่มผู้ที่มีอายุเกิน 60 ปีขณะที่ 10% ของผ้ป่วยพาร์กินสันเป็นคนในวัย 30 – 40 ปีที่มีประวัติทางพันธุกรรมมาก่อน ในประเทศไทยมีผู้ป่วยพาร์กินสันราวหนื่งแสนราย
อาการหลักที่สังเกตได้ชัดเจน คือ อาการสั่นที่มือ แขน ขา คางและริมฝีปาก กล้ามเนื้อเกร็ง แขนขาหรือลำตัวแข็งเกร็งทำให้ไม่สามารถขยับได้ เคลื่อนไหวช้า เสียสมดุลย์ในการทรงตัว และกล้ามเนื้อทำงานไม่ประสานกัน เมื่ออาการเหล่านี้หนักขึ้น ผู้ป่วยจะเดิน พูด หรือทำกิจวัตรประจำวันลำบาก และมีแนวโน้มจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ผู้ป่วยต้องเผชิญปัญหากับการเคลื่อนไหว นอกจากนี้สุขภาวะการนอนตอนกลางคืนไม่ดี เช่น นอนละเมอ นอนกรน ร่วมกับปัญหาด้านการดมกลิ่น ท้องผูก รวมท้ง มีอาการซึมเศร้า หดหู่ หากมีอาการเหล่านี้ร่วมกับอาการเกร็งร่างกายขยับลำบาก ควรรีบพบแพทย์เพื่อตรวจวินิจฉัย
นพ.อภิชาติ พิศาลพงศ์ อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพกล่าวว่า
“การวินิจฉัยผู้ป่วยที่เป็นโรคพาร์กินสันต้องอาศัยการซักถามประวัติและการตรวจร่างกาย เริ่มจากการวินิจฉัยแยกโรคว่าเป็นพาร์กินสันแท้ หรือพาร์กินสันเทียม เนื่องจากมีกลุ่มอาการที่คล้ายโรคพาร์กินสัน ซึ่งเป็นผลมาจากการรับประทานยารักษาโรคเวียนศีรษะ ยานอนหลับ โรคเส้นเลือดในสมองตีบ โรคพร่องน้ำในสมองที่มีปริมาณมากเกินไป หรือภาวะไทรอยด์ต่ำส่งผลให้เกิดอาการพาร์กินโซนิซึ่ม เป็นต้น”
ปัจจุบัน แพทย์สามารถเจาะเลือดและสแกนสมอง CT หรือ MRI เพื่อวินิฉัยแยกโรค รวมทั้งใช้เทคโนโลยี PET Scan มาช่วยยืนยันโรคพาร์กินสันได้อีกวิธีหนึ่งโดยการฉีดสารโดพามีนให้จับกับรังสี หรือเอฟโดป้า (F-DOPA) เพื่อดูว่ามีสารดังกล่าวอยู่ในปริมาณมากน้อยแค่ไหนเข้าข่ายเป็นโรคพาร์กินสันแท้ หรือพาร์กินสันเทียม หรือเป็นพาร์กินสันในระยะใด เพื่อเป็นประโยชน์ในการวางแผนการรักษาได้ถูกต้อง
แนวทางการรักษาหลัก คือ การรับประทานยาระงับอาการสั่น แต่เมื่อรับประทานยามาเป็นเวลานานอาการของโรคไม่ตอบสนองต่อยา ไม่สามารถคุมอาการสั่นได้ จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดใส่ชุดอุปกรณ์กระตุ้นประสาทส่วนลึก (Deep Brain Simulation: DBS Therapy) ซึ่งเป็นการรักษาที่ได้รับการรับรองจากองค์กรอาหารและยาของสหรัฐอเมริกา และได้รับการพิสูจน์แล้วว่าสามารถช่วยบรรเทาอาการของโรคพาร์กินสันได้ โดยตลอดระยะเวลา 25 ปีที่ผ่านมา มีผู้เข้ารับการรักษาด้วยวิธีนี้มากกว่า 100,000 รายทั่วโลก
นพ.ศรัณย์ นันทอารี ศัลยแพทย์สมองและระบบประสาท โรงพยาบาลกรุงเทพและโรงพยาบาลศิริราช กล่าวว่า
“การรักษาโรคพาร์กินสันด้วยยาในผู้ป่วยบางรายพบการดื้อยา ซึ่งทำให้อาการแสดงออกภายนอกเปลี่ยนไป มีอาการขึ้นลงๆ จากการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติในบางรายอาจพบว่าการยุกยิก หรือเคลื่อนไหวเร็ว บางรายอาจมีอาการเหวี่ยงตัว เนื่องจากควบคุมตัวเองไม่ได้ ระบบ DBS Therapy จะต้องทำโดยแพทย์ศัลยกรรมทางประสาทที่มีความชำนาญในการผ่าตัด เพื่อใส่อุปกรณ์เข้าไปในร่างกายโดยแพทย์จะฝังอิเล็กโทรดเข้าไปในสมองและเชื่อมต่อกับอุปกรณ์ไฟฟ้าขนาดเล็กที่เรียกว่า เครื่องกระตุ้นไฟฟ้า ที่มีลักษณะคล้ายกับเครื่องกระตุ้นการเต้นของหัวใจ เข้าไปในร่างกายของผู้ป่วย อุปกรณ์ตัวนี้จะส่งสัญญาณไฟฟ้าอ่อนๆ เข้าไปยังสมองส่วนที่ควบคุมการเคลื่อนไหว และป้องกันไม่ให้สมองส่งคำสั่งบางอย่างที่เป็นสาเหตุของการเคลื่อนไหวผิดปกติ ทำให้สามารถกลับมาทำกิจวัตรประจำวันและสามารถควบคุมการเคลื่อนไหวของร่างกายได้ดีขึ้น”
“การรักษาด้วยวิธีผ่าตัดใส่ชุดอุปกรณ์กระตุ้นประสาทส่วนลึกนี้ (DBS) จะเหมาะกับผู้ป่วยที่มีอาการดื้อยารักษาโรคพาร์กินสัน และไม่มีภาวะเสี่ยงของโรคแทรกซ้อนหากต้องเข้ารับการรักษาด้วยการผ่าตัด โดยจะช่วยลดปริมาณการใช้ยา ลดภาวะข้างเคียงของยา ในขณะเดียวกันก็เพิ่มประสิทธิภาพการรักษา และเพิ่มคุณภาพชีวิตที่ดีให้ผู้ป่วยอีกด้วย ซึ่งในช่วง 10 ปีที่ผ่านนมาในประเทศไทยมีผู้ป่วยที่รักษาด้วยวิธีนี้จำนวนกว่า 100 ราย”
อุปกรณ์ไฟฟ้าอันนี้จะเข้าไปยับยั้งการทำงานของสมองที่มากเกินไปให้กลับมาทำงานตามปกติซึ่งในแต่ละรายจะปรับกระแสไฟฟ้าเพื่อควบคุมอาการแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับอาการผู้ป่วย ส่วนแบตเตอรี่มีอายุการใช้งานเฉลี่ย 5 ปี แต่ถ้าเป็นแบบชาร์ทได้จะมีอายุการใช้งานยาวนานขึ้นถึง 9 ปี
อายุรแพทย์สมองและระบบประสาท อธิบายต่อว่า “การฟื้นฟูผู้ป่วยพาร์กินสันเป็นอีกแนวทางหนึ่งในการรักษาเพื่อให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น เนื่องจากพาร์กินสัน เป็นโรคที่ทำให้ผู้ป่วยสูญเสียสมรรถภาพทางร่างกายจากอาการสั่นเกร็ง เคลื่อนไหวช้า เสียการทรงตัว ระบบประสาทอัตโนมัติผิดปกติซื่งจะมีผลตอ่ การพูด การกลืน ตลอดจนมีความผันผวนของอารมณ์จิตใจ ซึ่งส่งผลต่อตัวผู้ป่วย ครอบครัวและสังคมด้วยการฟื้นฟู จึงมุ่งเน้นไปที่วิธีการทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูต่างๆ ที่จะช่วยเพิ่มความสามารถของผู้ป่วยในการช่วยเหลือตนเอง ได้แก่ การทำกายภาพบำบัด เพื่อฝึกการใช้มือและการทำกิจวัตรประจำวันให้ดีขึ้น การฝึกกลืน การฝึกพูดให้ดีขึ้น และการดูแลทางด้านจิตใจร่วมไปด้วยในระหว่างฟื้นฟู”
“การฟื้นฟูยังช่วยฝึกให้มีการชดเชย หรือทดแทนในส่วนที่เสียการทำงานไปป้องกันภาวะแทรกซ้อนจากโรค และเพิ่มคุณภาพชีวิตช่วยให้ผู้ป่วยและครอบครัว สามารถรับมือกับปัญหาและอยู่กับโรคได้ดีขึ้น”
ขอบคุณ : https://www.bangkokhospital.com/index.php/th/diseases-treatment/stimulate-the-brain-to-stop-shaking
อาหารเสริม herbraga
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น