
โรคข้อรูมาตอยด์รุนแรงไหม?
การดำเนินโรคหรือความรุนแรงของโรคข้อรูมาตอยด์ค่อนข้างจะหลากหลาย ไม่แน่นอน แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน โดยส่วนใหญ่อาการปวดบวมของข้อจะเป็นๆหายๆ แต่การทำลายของข้อจากการอักเสบก็ยังคงดำเนินต่อไป ทำให้มีการผิดรูปร่างของข้อและใช้งานไม่ได้มากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยมีผู้ป่วยเฉลี่ย 50% ที่มีอาการมาแล้วประมาณ 10 ปีจะไม่สา มารถทำงานได้อีกต่อไป ในขณะที่ผู้ป่วยประมาณ 15% จะมีอาการปวดบวมจากการอักเสบของข้อเป็นอยู่ไม่นาน ไม่มีความพิการของข้อให้เห็น และสามารถทำงานได้เหมือนปกติ
ลักษณะที่บ่งว่าผู้ป่วยมีการพยากรณ์โรคไม่ดีจะเกิดความพิการของข้อตามมาได้แก่ มีจำนวนข้อที่ปวดบวมมากกว่า 20 ข้อ เริ่มเป็นโรคเมื่อมีอายุมากแล้ว มีปุ่มเนื้อ rheumatoid nodules มีค่าตรวจเลือดที่เรียกว่า การตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (ESR, Erythrocyte sedimentation rate) สูง มีโรคประจำตัวอื่นๆร่วมด้วย มีฐานะยากจน และอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมบางชนิด นอกจากนี้ การตรวจพบค่าสารภูมิต้านทาน Rheumatoid factor มีระดับสูงมากเท่าใด ก็มีโอกาสที่โรคจะรุนแรงและดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ทั้งพยาธิสภาพที่เกิดกับข้อและอวัยวะอื่นๆด้วย
ผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์จะมีอายุโดยเฉลี่ยสั้นกว่าคนปกติทั่วไปประมาณ 3 - 7 ปี ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีข้อต่างๆพิการ จะมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่าคนปกติทั่วไป ประมาณ 2.5 เท่า โดยสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อ การมีเลือดออกในทางเดินอาหาร และโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาก็มีส่วนที่เป็นสาเหตุด้วยเช่นกัน
ดูแลตนเองอย่างไร?
-การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคข้อรูมาตอยด์คือ
1.การรักษาจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น ควรพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจได้ยาในขนาดสูงจนเป็นอันตรายหรือได้ชนิดยาไม่เหมาะสมที่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้ ไม่ควรใช้ยาสมุนไพร ยาต้ม ยาลูกกลอน เพราะมักมียากลุ่มสเตียรอยด์ผสม ซึ่งทำให้การใช้ยาในช่วงแรกอาจดูเหมือนได้ผลดี แต่หลังจากนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาอีกมากมายดังกล่าวแล้ว
2.การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เพราะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ข้อเคลื่อนไหวได้เต็มองศาของข้อนั้น ช่วยลดความปวดและอาการอ่อนเพลีย โดยการออกกำลังกายในน้ำหรือว่ายน้ำเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่ทำให้ข้อได้รับการกระทบกระเทือนจากการลงน้ำหนัก แต่อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดถึงวิธีการออกกำลังกายก่อนที่จะเริ่มทำจริงจัง เพราะจะได้ทราบถึงวิธีการออกกำลังกาย ท่าทางต่างๆที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
3.ในแต่ละวัน ไม่ควรนั่งยืนหรืออยู่ในอิริยาบถใดๆที่ไม่เกิดการเคลื่อนไหวของข้อใดข้อหนึ่งนานๆ เพราะจะทำให้ข้อแข็ง ขาดความยืดหยุ่น เกิดข้อยึดได้เร็วขึ้น ควรขยับข้อต่างๆบ่อยๆ แต่ไม่ควรฝืนทำกับข้อที่กำลังมีอาการบวมและปวดอยู่
4.หลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่งผลให้ข้อได้รับความกระทบกระเทือน เช่น ไม่ยก ไม่แบกของหนัก ไม่กระโดดจากที่สูง หลีกเลี่ยงการทำงานที่ใช้สว่านขุดเจาะ พยายามใช้ข้อใหญ่ในการทำงานก่อน เช่น ถ้าต้องยกของก็พยายามใช้ข้อมือหรือข้อศอกในการออกแรง ใช้แรงจากข้อนิ้วให้น้อยที่สุด เป็นต้น
5.ถ้ามีน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วนควรต้องลดน้ำหนัก จะช่วยลดการรับน้ำหนักของข้อเข่าข้อเท้าได้ แต่ต้องได้รับอาหารที่มีแคลเซียม วิตามินดี และวิตามินซีอย่างเพียงพอ เพื่อการบำรุงเนื้อเยื่อและกระดูก
6.นอกจากการใช้ยาเพื่อลดอาการปวดบวมของข้อแล้ว การแช่น้ำอุ่น พาราฟินอุ่น หรือการแช่ในน้ำแข็ง การประคบเย็น (Ice pack) ก็สามารถช่วยลดอาการได้ การที่จะเลือก ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำแข็งขึ้นกับแต่ละบุคคลว่าตอบสนองกับวิธีใดมากกว่ากัน
บุคคลทั่วไปควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
-บุคคลทั่วไปเมื่อมีอาการปวดบวมตามข้อและ/หรือมีข้อยึดแข็ง ที่เป็นมานานมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
ป้องกันโรคข้อรูมาตอยด์ได้อย่างไร?
-เนื่องจากเป็นโรคยังไม่ทราบสาเหตุ ปัจจุบันจึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคข้อรูมาตอยด์ แต่จะเห็นได้ว่า ตัวโรคเองและผลข้างเคียงจากการรักษา อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) จึงสามารถช่วยลดโอกาสติดเชื้อให้น้อยลงได้
โรคข้อรูมาตอยด์รุนแรงไหม?
-การดำเนินโรคหรือความรุนแรงของโรคข้อรูมาตอยด์ค่อนข้างจะหลากหลาย ไม่แน่นอน แตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละคน โดยส่วนใหญ่อาการปวดบวมของข้อจะเป็นๆหายๆ แต่การทำลายของข้อจากการอักเสบก็ยังคงดำเนินต่อไป ทำให้มีการผิดรูปร่างของข้อและใช้งานไม่ได้มากน้อยแตกต่างกันไปในแต่ละคน โดยมีผู้ป่วยเฉลี่ย 50% ที่มีอาการมาแล้วประมาณ 10 ปีจะไม่สา มารถทำงานได้อีกต่อไป ในขณะที่ผู้ป่วยประมาณ 15% จะมีอาการปวดบวมจากการอักเสบของข้อเป็นอยู่ไม่นาน ไม่มีความพิการของข้อให้เห็น และสามารถทำงานได้เหมือนปกติ
ลักษณะที่บ่งว่าผู้ป่วยมีการพยากรณ์โรคไม่ดีจะเกิดความพิการของข้อตามมาได้แก่ มีจำนวนข้อที่ปวดบวมมากกว่า 20 ข้อ เริ่มเป็นโรคเมื่อมีอายุมากแล้ว มีปุ่มเนื้อ rheumatoid nodules มีค่าตรวจเลือดที่เรียกว่า การตกตะกอนของเม็ดเลือดแดง (ESR, Erythrocyte sedimentation rate) สูง มีโรคประจำตัวอื่นๆร่วมด้วย มีฐานะยากจน และอาจเกี่ยวข้องกับพันธุกรรมบางชนิด นอกจากนี้ การตรวจพบค่าสารภูมิต้านทาน Rheumatoid factor มีระดับสูงมากเท่าใด ก็มีโอกาสที่โรคจะรุนแรงและดำเนินไปอย่างรวดเร็ว ทั้งพยาธิสภาพที่เกิดกับข้อและอวัยวะอื่นๆด้วย
ผู้ป่วยโรคข้อรูมาตอยด์จะมีอายุโดยเฉลี่ยสั้นกว่าคนปกติทั่วไปประมาณ 3 - 7 ปี ผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรง มีข้อต่างๆพิการ จะมีความเสี่ยงในการเสียชีวิตมากกว่าคนปกติทั่วไป ประมาณ 2.5 เท่า โดยสาเหตุการเสียชีวิตส่วนใหญ่มาจากการติดเชื้อ การมีเลือดออกในทางเดินอาหาร และโรคหลอดเลือดหัวใจ ซึ่งผลข้างเคียงจากยาที่ใช้รักษาก็มีส่วนที่เป็นสาเหตุด้วยเช่นกัน
ดูแลตนเองอย่างไร?
-การดูแลตนเองเมื่อเป็นโรคข้อรูมาตอยด์คือ
1.การรักษาจะต้องอยู่ในความดูแลของแพทย์เฉพาะทางเท่านั้น ควรพบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอ ไม่ควรซื้อยากินเองโดยไม่ปรึกษาแพทย์ เพราะอาจได้ยาในขนาดสูงจนเป็นอันตรายหรือได้ชนิดยาไม่เหมาะสมที่จะช่วยลดความรุนแรงของโรคลงได้ ไม่ควรใช้ยาสมุนไพร ยาต้ม ยาลูกกลอน เพราะมักมียากลุ่มสเตียรอยด์ผสม ซึ่งทำให้การใช้ยาในช่วงแรกอาจดูเหมือนได้ผลดี แต่หลังจากนั้นจะทำให้เกิดภาวะแทรกซ้อนตามมาอีกมากมายดังกล่าวแล้ว
2.การออกกำลังกายเป็นสิ่งสำคัญและจำเป็น เพราะช่วยเพิ่มความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ช่วยให้ข้อเคลื่อนไหวได้เต็มองศาของข้อนั้น ช่วยลดความปวดและอาการอ่อนเพลีย โดยการออกกำลังกายในน้ำหรือว่ายน้ำเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด เพราะไม่ทำให้ข้อได้รับการกระทบกระเทือนจากการลงน้ำหนัก แต่อย่างไรก็ตาม ควรปรึกษาแพทย์หรือนักกายภาพบำบัดถึงวิธีการออกกำลังกายก่อนที่จะเริ่มทำจริงจัง เพราะจะได้ทราบถึงวิธีการออกกำลังกาย ท่าทางต่างๆที่เหมาะสมกับผู้ป่วยแต่ละคน
3.ในแต่ละวัน ไม่ควรนั่งยืนหรืออยู่ในอิริยาบถใดๆที่ไม่เกิดการเคลื่อนไหวของข้อใดข้อหนึ่งนานๆ เพราะจะทำให้ข้อแข็ง ขาดความยืดหยุ่น เกิดข้อยึดได้เร็วขึ้น ควรขยับข้อต่างๆบ่อยๆ แต่ไม่ควรฝืนทำกับข้อที่กำลังมีอาการบวมและปวดอยู่
4.หลีกเลี่ยงการกระทำที่ส่งผลให้ข้อได้รับความกระทบกระเทือน เช่น ไม่ยก ไม่แบกของหนัก ไม่กระโดดจากที่สูง หลีกเลี่ยงการทำงานที่ใช้สว่านขุดเจาะ พยายามใช้ข้อใหญ่ในการทำงานก่อน เช่น ถ้าต้องยกของก็พยายามใช้ข้อมือหรือข้อศอกในการออกแรง ใช้แรงจากข้อนิ้วให้น้อยที่สุด เป็นต้น
5.ถ้ามีน้ำหนักตัวเกินหรือโรคอ้วนควรต้องลดน้ำหนัก จะช่วยลดการรับน้ำหนักของข้อเข่าข้อเท้าได้ แต่ต้องได้รับอาหารที่มีแคลเซียม วิตามินดี และวิตามินซีอย่างเพียงพอ เพื่อการบำรุงเนื้อเยื่อและกระดูก
6.นอกจากการใช้ยาเพื่อลดอาการปวดบวมของข้อแล้ว การแช่น้ำอุ่น พาราฟินอุ่น หรือการแช่ในน้ำแข็ง การประคบเย็น (Ice pack) ก็สามารถช่วยลดอาการได้ การที่จะเลือก ใช้น้ำอุ่นหรือน้ำแข็งขึ้นกับแต่ละบุคคลว่าตอบสนองกับวิธีใดมากกว่ากัน
บุคคลทั่วไปควรพบแพทย์เมื่อไหร่?
-บุคคลทั่วไปเมื่อมีอาการปวดบวมตามข้อและ/หรือมีข้อยึดแข็ง ที่เป็นมานานมากกว่า 2 สัปดาห์ขึ้นไป ควรพบแพทย์เพื่อรับการตรวจวินิจฉัย
ป้องกันโรคข้อรูมาตอยด์ได้อย่างไร?
-เนื่องจากเป็นโรคยังไม่ทราบสาเหตุ ปัจจุบันจึงยังไม่มีวิธีป้องกันโรคข้อรูมาตอยด์ แต่จะเห็นได้ว่า ตัวโรคเองและผลข้างเคียงจากการรักษา อาจทำให้เกิดการติดเชื้อได้ง่าย ดังนั้น การป้องกันการติดเชื้อด้วยการรักษาสุขอนามัยพื้นฐาน (สุขบัญญัติแห่งชาติ) จึงสามารถช่วยลดโอกาสติดเชื้อให้น้อยลงได้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น