วันจันทร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2561

รู้จักเบาหวาน


โรคเบาหวานคืออะไร:  โรคเบาหวานคือโรคที่เซลร่างกายมีความผิดปรกติในขบวนการเปลี่ยนน้ำตาลในเลือดให้เป็นพลังงาน  เมื่อน้ำตาลไม่ได้ถูกใช้จึงทำให้ระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นกว่าระดับผิดปรกติ

-แล้วแค่ไหนจึงจะเรียกว่าผิดปรกติ  ใครเป็นผู้กำหนด: ในปัจจุบันหลายประเทศใช้เกณฑ์ระดับน้ำตาลที่ >126 มก./ดล.  โดยมีข้อแม้ว่าเป็นค่าของน้ำตาลในน้ำเลือดหลังจากอดอาหารมาอย่างน้อย 8 ชม. แล้ว  แต่ถ้าบังเอิญท่านไม่ได้อดอาหารมาก่อน  แต่ต้องการตรวจเลยโดยไม่อยากกลับมาใหม่ในวันรุ่งนี้  ท่านสามารถเจาะเลือดได้เลยโดยใช้ค่า 200มก./ดล.เป็นเกณฑ์

ใครเป็นผู้กำหนดตัวเลขนี้:
-คณะกรรมการผู้เชี่ยวชาญสมาคมเบาหวานแห่งประเทศสหรัฐประชุม  กันพิจารณางานวิจัยที่มีทั้งหมดก่อนปีค.ศ.1999เพื่อหาว่า  โรคแทรกซ้อนของโรคเบาหวานจะเริ่มเกิดขึ้นเมื่อระดับน้ำตาลในเลือดสูงขึ้นที่ระดับเท่าใด  ผลพบโรคแทรกซ้อนที่เกิดขึ้นเร็วที่สุดคือจอประสาทตาเสื่อม  เกิดขึ้นที่ระดับน้ำตาลในเลือด 126 มก./ดล  ดังนั้นความสำคัญของตัวเลขนี้ก็คือ  ทุกคนควรจะเริ่มตระหนักว่า  ถ้าเรามีระดับน้ำตาลสูงกว่า 126 เรามีโอกาสจะเกิดโรคแทรกซ้อนในระยะยาวของเบาหวานแล้ว  แม้ว่าที่น้ำตาลระดับนี้จะไม่ทำให้เราเกิดอาการใดๆ เลย  ดังนั้นตัวเลขนี้จึงมีความหมายในการสร้างความตระหนักเพื่อให้เรามีมาตราการใดๆ ก็ตาม  ที่จะทำให้ระดับน้ำตาลของเราต่ำลกว่า 126  แต่วิธีการจะทำให้ระดับน้ำตาลของเราต่ำลงนั้น จะเป็นวิธีที่ใดจะใช้วิธีกินยาหรือไม่  ถ้าใช้ยาจะใช้อย่างไร  คงจะต้องมาพิจารณากันอีกที  เพราะการควบคุมโรคเบาหวานนั้นมีหลายวิธี  ในอนาคตเมื่อมีงานวิจัยใหม่ๆ หรือมีหลักฐานอื่นๆ มาลบล้างตัวเลข 126 นี้ลง  เกณฑ์ของการวินิจฉัยเบาหวานก็อาจจะเปลี่ยนไปเพื่อให้ประชาชนมีโรคแทรกซ้อนจากเบาหวานน้อยที่สุด  เพราะที่ให้ระดับน้ำตาลสูงกว่านี้รวมกับระยะเวลาที่ผ่านไป  โรคแทรกซ้อนอื่นๆของเบาหวานเช่นหลอดเลือดแดงของหัวใจ  หลอดเลือดแดงของสมอง  โรคความดันโลหิตสูง  ไตเสื่อมและไขมันสูงก็จะตามมาอีกชุดใหญ่  อย่างไรก็ตามองค์การอนามัยโรคยังคงใช้เกณฑ์ระดับน้ำตาลที่ 200 มก./ดล.

แล้วประเทศไทยใช้ตัวเลขใด:
-กระทรวงสาธารณสุขร่วมกับสมาคมโรคเบาหวานแห่งประเทศไทยและสำนักงานประกันสุขภาพถ้วนหน้า ประชุมกันใช้ตัวเลขระดะบน้ำตาลที่ 126 มก./ดล. เช่นเดียวกับสหรัฐอเมริกา

แล้วทำไมร่างกายจึงใช้น้ำตาลไม่ได้:
-เราใช้น้ำตาลที่กินจากอาหารเพื่อทำให้เกิดพลังงาน  น้ำตาลที่กล่าวถึงนี้คือกลูโคส  ไม่ว่าเราจะอะไรเป็นอาหาร  กินแป้ง กินเนื้อสัตว์ กินไขมัน  ผลไม้ หรือผัก ในที่สุดมันจะต้องถูกย่อยให้เป็นหน่วยที่เล็กที่สุดคือน้ำตาลกลูโคสก่อนเสมอ  แล้วกลูโคสตัวนี้จึงเข้าสู่ขั้นตอนแรกของขบวนการที่ทำให้เกิดการเผาผลาญที่เรียกว่า glucolysis มีทั้งหมด 10 ขั้นตอนย่อย อนึ่ง ขบวนนี้ต้องเกิดขึ้นภายในเซล  การนำกลูโคสเข้าเซล และและขั้นตอนที่ glucolysis ขั้นที่fructose 6 phosphate เปลี่ยนเป็น fructose 1,6 phosphate  ขั้นตอนนั้นต้องใช้อินสุลิน
-นอกจากนี้ ขบวนการต่อไปคือสาร pyruvate เข้าสู่ kreb cycle เพื่อให้ได้พลังงาน ATPยังมีอีกเอ็นไซสำคัญ pyruvatedehydroginase kinase ที่ต้องใช้อินสุลินกระตุ้นอีกด้วย
-เมื่อกลูโคสในเลือดเข้าเซลก็ไม่ได้ ถ้าเข้าไปก็ไม่สามารถผ่านเข้าสู่ขบวนการ glucolysis กลายเป็น pyruvate ไม่ได้  แต่ถ้าแม้นบางส่วนจะสามารถผ่านเข้าไปเป็น pyruvate ได้ในกรณีเบาหวานชนิดที่ 2 อินสุลินมีอยู่แต่ออกฤทธิ์ได้ไม่ดี  เอนไซม์ที่ต้องใช้เปลี่ยน pyruvate เป็น acetyl CoA ก็ยังไม่มีประสิทธิภาพเพราะต้องใช้อินสุลินในขั้นตอนนี้อีกเช่นกัน

แล้วทำไมร่างกายเราจึงขาดอินสุลิน: การขาดอินสุลินมีอยู่ 2 แบบหลักๆ
1. ร่ายกายขาดฮอร์โมนอินสุลินจริงๆ  หมายถึงอินสุลินเท่ากับศูนย์  ไม่มีเลยทั้งนี้เพราะโรงงานที่ผลิตคือตับอ่อนผลิตอินสุลินไม่ได้ ส่วนจะผลิตไม่ได้เพราะอะไรยังสามารถแยกแยะต่อไปได้อีก
1.1 ถ้าผลิตไม่ได้เพราะเซลเบต้าที่ผลิตถูกทำลายโดยภูมิคุ้มกันของตัวเอง  องค์การอนามัยโลก(WHO classification) ให้เป็น เบาหวานชนิดที่ 1 เขียนสั้นๆ ว่า DM1
1.2 ถ้าผลิตไม่ได้เพราะเซลเบต้าถูกทำลายด้วยสาเหตุอื่นเช่น มะเร็ง  เหล้า เบียร แอลกอฮอลล์แร่เหล็ก หรืออะไรอย่างอื่นไปตกตะกอนในตับอ่อน  หรือตับอ่อนถูกตัดเช่นเกิดอุบัติเหตุ WHO ให้เป็นเบาหวานอื่นๆ (other DM)

2. ร่างกายไม่ได้ขาดอินสุลิน  ตับอ่อนสามารถผลิตอินสุลินได้ดี หรืออาจจะผลิตได้มากกว่าปรกติด้วยซ้ำ แต่อินสุลินไม่สามารถนำน้ำตาลเข้าเซลได้  อย่างนี้พูดได้ว่ามีแต่ก็ใช้ไม่ได้  เสมือนหนึ่งว่าขาด กลไกแบบนี้ WHO จัดให้เป็นเบาหวานชนิดที่ 2 เขียนสั้นๆ ว่า DM2

มาดูภาพประกอบง่ายๆ จาก Diabetes.UK กัน ถ้าเซลรางกายของเราเปรียบเสมือนบ้าน   และน้ำตาลกลูโคสเปรียบเสมือนคนที่ต้องการเข้าบ้าน  และอินสุลินเปรียบเสมือนกุญแจ  คนไม่สามารถเข้าบ้านไม่ได้อาจเกิดจาก
1.ไม่มีกุญแจ
2.มีกุญแจ แต่กุญแจไขไม่ออก
เมื่อนักวิทยาศาสตร์ศึกษาลึกลงไปจนเห็นระดับเซล  เขาพบว่าร่างกายมีประตูที่เป็นทางเข้าของน้ำตาลจริงๆ ด้วย  เราเรียกประตูนั้นว่าว่า Insulin receptor ดังนั้นเมื่อกลไกการเกิดโรคเบาหวานเกิดได้หลายกลไก  การรักษาจึงแตกต่างกันไปตามสาเหตุด้วย  แต่อย่าลืมว่าธรรมชาติเป็นสิ่งมหัศจรรย์  ในบางคนหรือแม้แต่ในคนเดียวกันแต่ในช่วงเวลาต่างกัน  ก็สามารถจะเกิดโรคเบาหวานได้จากกลไกที่มากกว่า 1 อย่าง

อาการของโรคเบาหวาน
-อาการของโรคเบาหวานที่พบบ่อย: ปัสสาวะบ่อย  กระหายน้ำมาก  หิวมากกว่าปรกติ น้ำหนักลด  อ่อนเพลีย สมาธิไม่มี  ชาปลายมือปลายเท้า ตามัว  ป่วยบ่อย ติดเชื้อบ่อย คลื่นไส้ เวียนหัว หงุดหงิด  ขบคิดปัญหาง่ายๆ ไม่ดี  แผลหายช้า  คันผิวหนัง คันช่องคลอด  อาการที่พบบ่อยนี้จะเริ่มสังเกตเห็นได้เมื่อระดับน้ำตาลสูงกว่า 200 มก./ดล. ทั้งนี้เพราะไตสามารถเก็บกักกลูโคสได้มากทีี่สุดประมาณ 160-180 มก./ดล. ที่ระดับน้ำตาลสูงกว่านี้กลูโคสเป็นสารที่ดูดน้ำเอาไว้  จึงพาเอาน้ำและเกลือแร่อย่างอื่นเช่นโซเดียม  ขับออกมาเป็นปัสสาวะจำนวนที่มากกว่าปรกติ  ผู้ป่วยจะสังเกตได้ง่ายคือแม้ไม่รับประทานน้ำในขณะหลับ  ก็ยังต้องตื่นขึ้นมาปัสสาวะ  ส่วนอาการผิวแห้ง คัน กระหายน้ำนั้นเป็นผลพวงของปัสสาวะที่มากนั่นเอง  ส่วนอาการทางอารมณ์และสมอง เกิดจากความหนืดของเลือดที่เพิ่มขึ้น  ซึ่งสมองสามารถสังเกตได้ค่อนข้างไวนั่นเอง
ดังนั้นในคนที่ระดับดับน้ำตาลสูงกว่าเกณฑ์ 126 มก./ดล.จึงไม่มีอาการใดๆ ใและโดยบังเอิญในการตรวจร่างกายประจำปี


ขอบคุณ : http://www.dmthai.org/news_and_knowledge/88



สำหรับผู้ที่มีภาวะ เบาหวาน 


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น