วันอาทิตย์ที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ระวังอันตรายที่มากับ โรคภูมิแพ้จมูก หรือ โรคภูมิแพ้อากาศ (Allergic Rhinitis)


ฮัดเช้ย!!  จามบ่อยๆ ติดต่อกัน อีกทั้งมีอาการคัดจมูกร่วมด้วย ระวังโรคภูมิแพ้จมูกถามหา โดยเฉพาะในช่วง ปลายฝนต้นหนาวมักจะมีอาการกำเริบมากขึ้น.

- โรคภูมิแพ้จมูก (Allergic Rhinitis) หรือที่เรียกว่า "แพ้อากาศ" นี้ พญ.มนิณทร วรรณรัตน์ กุมารแพทย์โรคระบบทางเดินหายใจ ได้ให้ข้อมูลว่า เป็นโรคที่พบบ่อยในประเทศไทย โดยเฉพาะในผู้ป่วยเด็กและวัยรุ่นมากกว่า 80 % ของผู้ป่วยโรคภูมิแพ้ มีอาการก่อนอายุ 20 ปีแต่ก็สามารถพบได้ในทุกคนทุกวัย โรคภูมิแพ้จมูกนี้มีอาการเรื้อรัง สร้างความรำคาญให้แก่ผู้ป่วย และอาจเกิดโรคแทรกซ้อนต่างๆ ได้ เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ เป็นต้น

ภูมิแพ้จมูกเกิดขึ้นได้อย่างไร  ซึ่งการทำงานต้องผ่านกระบวนการระบบการทำงานที่เกี่ยวข้องโดยเฉพาะการทำงานที่เกี่ยวข้องกับระบบทางเดินหายใจและการทำงานต้องผ่านขั้นตอนที่เกี่ยวข้องกับทางเดินอาหารซึ่งเมื่อเปรียบเทียบดูแล้ว
ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จมูกจะมีปฏิกิริยาตอบสนองไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ เมื่อมีสารก่อภูมิแพ้เข้าสู่ร่างกาย สารอิมมูโนโกลบูลินอี (Immunoglobulin E; IgE) ที่ถูกสร้างขึ้นจะเข้าทำปฏิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ที่หายใจเข้าไป เป็นผลให้เซลล์บางชนิดภายในจมูก มีการแตกตัวและหลั่งสารเคมีออกมาทำให้เกิดการอักเสบ และมีอาการต่าง ๆ ของโรคตามมา

ใครบ้างที่มีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้จมูก
-กรรมพันธุ์ ถ้าพบว่าบิดาหรือมารดาเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็นโรคภูมิแพ้สูงถึง 50% และถ้าทั้งบิดาและมารดาเป็นโรคภูมิแพ้ ลูกมีโอกาสเป็นเพิ่มขึ้นถึง 70% และมักจะมีอาการเร็วสิ่งแวดล้อม สารก่อภูมิแพ้มักจะเป็นสารที่เด็กได้ รับเข้าไป ซึ่งอาจเป็นจากการหายใจ สัมผัส รับประทาน หรือฉีดเข้าสู่ร่างกาย ซึ่งแบ่งเป็นสารก่อภูมิแพ้ในบ้าน เช่น ฝุ่น, ไรฝุ่น, แมลงสาบ, รังแคหรือขนของแมวและสุนัข, เชื้อราในอากาศ, ควันบุหรี่ สารก่อภูมิแพ้นอกบ้าน เช่น ละออง หญ้า, เกสรดอกไม้, ฝุ่นละออง, ควันจากรถยนต์, ควันไฟจากการหุงต้มอาหาร, ก๊าซพิษปัจจัยอื่นๆ เช่น ทารกที่ได้รับ
นมมารดาเพียงอย่างเดียวเป็นเวลาอย่างน้อย 6 เดือน พบว่ามีโอกาสเกิดภูมิแพ้น้อยลง, ทารกที่ได้รับอาหารเสริม ตั้งแต่อายุ 4 เดือนมีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้มากกว่าทารกที่ไม่ได้รับอาหารเสริมถึง 3 เท่า

อาการของโรค
-ผู้ป่วยจะมีอาการคัดจมูก น้ำมูกไหล จามบ่อย คันในจมูก และมีเสมหะไหลลงคอ โดยอาการเหล่านี้อาจเกิดขึ้นตลอด ปี หรือเพียงบางฤดูกาลก็ได้ โดยเฉพาะฤดูฝนหรือฤดูหนาว บางรายอาจมีอาการทางตาร่วมด้วย เช่น คันตา เคืองตา ตาบวม น้ำตาไหล อันเกิดจากการอักเสบของเยื่อบุภายในตา ที่เรียกว่า Allergic conjunctivitis ผู้ป่วยส่วนใหญ่มักมี อาการเฉพาะบางเวลา เช่น ตอนเช้าหรือกลางคืน ประมาณวันละ1-2 ชั่วโมง

อาการของโรคนี้ต่างจากอาการหวัดอย่างไร
-อาการของโรคภูมิแพ้จมูกมักมีอาการเรื้อรังเป็นๆ หายๆ อาการเด่น คือ มีน้ำมูกใส จาม และคัดจมูก คันจมูก บางครั้ง อาจมีอาการคันตาร่วมด้วย โดยมักไม่มีไข้ อาจมีอาการไอเรื้อรังด้วย เนื่องจากมีเสมหะไหลลงคอทำให้ระคายคอ แต่ หากมีอาการไข้ เจ็บคอ ปวดเมื่อยตามร่างกายร่วมด้วยน่าจะเป็นหวัดมากกว่า นอกจากนี้ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จมูก มักมี คนในครอบครัวมีประวัติเป็นโรคในกลุ่มโรคภูมิแพ้ด้วย เช่น โรคภูมิแพ้จมูก โรคหอบหืด แพ้อาหาร ลมพิษเรื้อรัง ผื่นแพ้

ภาวะแทรกซ้อนจากโรคภูมิแพ้จมูก
โรคไซนัสอักเสบ
-ไซนัส คือ โพรงอากาศที่อยู่ในกระดูกบริเวณใกล้จมูกมีส่วนท่อต่อกับจมูก ทำให้อากาศผ่านเข้าออกได้ เมื่อเยื่อบุภายในจมูกบวมอักเสบ จะทำให้ท่อต่อนี้อุดตัน เกิดการติดเชื้อในโพรงไซนัส เกิดเป็นโรคไซนัสอักเสบ โดยมีอาการ เป็นเรื้อรังอาจมีหนองไหลออกจากหูเนื่องจากมีเยื่อแก้วหูทะลุ
นอนกรน ผู้ป่วยโรคภูมิแพ้จมูกจะมีเยื่อบุจมูกบวม บางครั้งอาจมีต่อมทอนซิลและต่อมอะดีนอยด์โตร่วมด้วย มีผล ทำให้ช่องทางเดินหายใจถูกอุดกั้น และมีอาการกรนเกิดขึ้น ถ้าอาการรุนแรงอาจมีการหยุดหายใจเป็นช่วงๆ ขณะ นอน ออกซิเจนต่ำ และมีผลต่อสมอง ทำให้เด็กสมาธิสั้น ส่งผลต่อพฤติกรรมและการเรียนรู้ได้

การรักษาและการป้องกัน
-ในครอบครัวที่ทารกมีโอกาสเกิดโรคภูมิแพ้ ควรส่งเสริมให้มีการเลี้ยงลูกด้วยนมมารดาเพียงอย่างเดียวอย่างน้อย 6 เดือน เสริมสร้างภูมิคุ้มกันของร่างกาย ได้แก่ การรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอนาน 30 นาที ความถี่ 3-4 ครั้ง/สัปดาห์ เพื่อก่อให้เกิดการปฏิชีวนะการทำงานของหน่วยงานราชการและการทำงานที่มา พร้อมกับการส่งเสริมการทำงานที่มีประสิทธิภาพและกรทำงานที่ก่อให้เกิดการสร้างสรรค์ที่พร้อมจะทำให้เป็นประโยชน์กับทุกฝ่าย

การดูแลสิ่งแวดล้อม
-ห้องนอนควรใช้เครื่องนอนที่เหมาะสม ไม่ควรใช้หมอนหรือที่นอนที่ทำจากนุ่น และควรหมั่นทำความสะอาดเป็น ประจำ  งดใช้พรม ไม่สะสมหนังสือ ของเล่นหรือตุ๊กตาที่มีขนในห้องนอน ทำความสะอาดที่นอน หมอน ผ้าห่มเป็น ประจำ โดยใช้การซักด้วยน้ำร้อน 60 องศา นาน 15-20 นาที เพื่อฆ่าตัวไรฝุ่น และตากแดดให้แห้ง ควรทำความสะอาด ดูดฝุ่น เช็ดถูพื้นเรือน ผ้าม่าน และทำความสะอาดเครื่องปรับอากาศเป็นประจำ งดการสูบบุหรี่ในบ้าน ไม่ควรใช้แป้งฝุ่น สเปรย์ปรับอากาศ และยาจุดกันยุง อาจเลือกใช้ผ้าใยสังเคราะห์พิเศษเพื่อคลุมที่นอนและหมอน เพื่อป้องกันไรฝุ่น หรือใช้เครื่องกรองอากาศชนิดที่เป็น HEPA Filter  ไม่เลี้ยงสัตว์ที่มีขนในบ้าน เช่น แมว สุนัข
การกำจัดขยะและเศษอาหารต่างๆ ควรมีฝาปิดมิดชิดเพื่อป้องกันแมลงสาบ  หลีกเลี่ยงสารระคายเคือง เช่น ท่อไอ เสียรถยนต์  การล้างจมูก ในกรณีมีน้ำมูกปริมาณมากหรือเป็นไซนัสอักเสบ กรณีที่พยายามหลีกเลี่ยง และพยายามออกกำลังกายแล้วอาการยังมีอยู่แนะนำให้พบแพทย์เฉพาะทางและรับการรักษาดังนี้

-ยาต้านฮีสตามีนหรือยาแก้แพ้แบบรับประทาน  ยาลดจมูกบวม แก้คัดจมูก  การให้ยาพ่นจมูกเป็นประจำเพื่อป้องกัน การเกิดภูมิแพ้  การให้การรักษาโดยวิธี Desensitization (การให้วัคซีนภูมิแพ้) เป็นการรักษาโรคภูมิแพ้ที่ต้นเหตุ และพบว่ามีอัตราการหายขาด 60–80 %  ในรายที่มีโรคแทรกซ้อนของภูมิแพ้ เช่น ไซนัสอักเสบ หูชั้นกลางอักเสบ ให้รีบรับการรักษาที่ถูกต้องโดยแพทย์เฉพาะทาง โดยการให้ยาปฏิชีวนะ


ขอบคุณ : http://www.thairath.co.th/content/life/34698



0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น